นายกฯ เปิด 10 ข้อ แผนดำเนินชีวิตปลอดจากโควิด-19

    นายกฯ เผย 10 มาตรการคลายล็อก หลังแนวโน้มติดเชื้อลด ย้ำแผนสร้างสมดุล ใช้ชีวิตกับโควิดอย่างปลอดภัย ลั่น 1 กันยาฯ ประเทศไทยจะก้าวไปสู่อนาคตร่วมกัน

        เมื่อวันที่ 23 ก.ย. 64 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง โพสต์เฟซบุ๊ก เน้นย้ำถึง นโยบายของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ศบค.ยังคงจับตาอย่างใกล้ชิดตัวเลขรายวัน พบว่ายอดผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มลดลง พร้อมเล็งคลายล็อกดาวน์ให้ผู้คนได้กลับมาใช้ชีวิตใกล้เคียงกับก่อนหน้านี้เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม โดยอาจมีการอนุญาตให้จังหวัดในพื้นที่ควบคุมสูงสุดเริ่มเปิดกิจการ/กิจกรรมบางอย่างภายใต้เงื่อนไขรัดกุมที่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงอยู่

        ต้องยอมรับว่า เชื้อโควิดทุกวันนี้มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์และแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย จนกลายเป็นโรคประจำถิ่น ดังนั้น เป้าหมายในการควบคุมโรคต้องตั้งอยู่บนความจริงว่า โรคนี้อาจไม่สามารถกำจัดให้หมดไปได้ หากแต่จะอยู่ร่วมกับโรคอย่างไรให้ปลอดภัยและสมดุลที่สุด ดังนั้น ชุดศบค. จึงมีมติเห็นชอบกับแผนการที่เรียกว่า “Smart Control and Living with COVID-19” หรือ การควบคุมโรคแนวใหม่ที่สมดุลกับการดำเนินชีวิตที่ปลอดภัยจากโควิด-19 โดยมีมาตรการ 10 ข้อดังนี้

 

  1. การยกระดับมาตรการ DMHT (อยู่ห่าง-ใส่แมสก์-ล้างมือ-วัดอุณหภูมิ) เป็นมาตรการ Universal Prevention (การป้องกันแบบครอบจักรวาล) นั่นคือการระมัดระวังตัวเองอย่างสูงสุด คิดเสมือนว่าทุกคนที่พบปะนั้นมีโอกาสเป็นผู้ติดเชื้อทั้งสิ้น

  2. การจัดหาวัคซีนและฉีดให้ได้มากและเร็วที่สุด โดยเฉพาะกับกลุ่มเสี่ยง โดยวันนี้เราสามารถมั่นใจได้แล้วว่า รัฐบาลจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะจัดหาวัคซีนให้ประชาชนได้อย่างน้อย 120 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ และเมื่อรวมกับวัคซีนทางเลือกของเอกชน จะมีวัคซีนรวมอย่างน้อย 130 ล้านโดส = ฉีดให้ประชาชนไทยได้กว่า 65 ล้านคน

  3. การจัดหาชุดตรวจโควิดด้วยตนเอง (ATK – Antigen Test Kit) ที่เข้าถึงง่าย ราคาถูก โดย สปสช. ได้สั่งซื้อหาและจะแจกจ่ายให้ประชาชนจำนวน 8.5 ล้านโดส โดยเร็วที่สุด และจะจัดหามาเพิ่มอีกในอนาคต

  4. การจัดทำมาตรการ Bubble & Seal กับโรงงาน สถานประกอบการ และแคมป์ก่อสร้าง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นให้อยู่ในวงจำกัดที่สุด และดูแลจัดการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง การแยกกัก และการรักษาผู้ป่วย ที่จะทำให้เราไม่ต้องปิดทั้งโรงงาน

  5. การจัดการสภาพแวดล้อมและการคัดกรองการตรวจอย่างเข้มงวดด้วยชุดตรวจ ATK ในสถานที่เสี่ยง คือตลาด และชุมชนแออัด ที่เป็นแหล่งแพร่ระบาดและเกิดคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก ต้องเข้มงวดและตรวจเป็นประจำ

  6. การจัดสภาพแวดล้อมของกิจการที่มีความเสี่ยงเป็นแบบปราศจากโควิด (COVID-Free Setting) เพื่อเปิดดำเนินกิจการได้ มี 3 องค์ประกอบสำคัญคือ 1.COVID-Free Environment (สภาพแวดล้อมปราศจากโควิด) เช่นระบบระบายอากาศ การจัดสถานที่ให้ไม่แออัด 2.COVID-Free Personnel (พนักงานปราศจากโควิด) เช่นการฉีดวัคซีนและตรวจ ATK 3.COVID-Free Customer (ลูกค้าปราศจากโควิด) เช่นการแสดงผลฉีดวัคซีนหรือการตรวจ ATK

  7. การจัดสภาพการทำงานและการเดินทางที่ปลอดภัย ไม่แออัด รวมถึงการคัดกรองโรคด้วยชุดตรวจ ATK สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีพนักงานจำนวนมาก ไม่ระบาดในที่ทำงาน และไม่นำเชื้อกลับมาส่งต่อที่บ้าน

  8. การจัดกิจกรรม สถานที่ และบริการสาธารณะต่างๆ ภายใต้มาตรการ 3C คือ การไม่จัดให้เกิดพื้นที่เสี่ยง 3 ประการ คือ “แออัด-ใกล้ชิด-ปิดอับ” (Crowded Places Close-Contact Setting, Confined & Enclosed Spaces)

  9. การจัดการบริการควบคุมโรคเชิงรุก เข้าถึงกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มเปราะบางในพื้นที่และชุมชนระบาด ด้วยหน่วยเคลื่อนที่ CCRT (Comprehensive COVID-19 Response Team) ทั้งการตรวจคัดกรอง การนำผู้ป่วยออกมารักษา การฉีดวัคซีน โดยเฉพาะกับผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่สามารถขอรับความช่วยเหลือได้ด้วยตนเอง

  10. ตรวจคัดกรองเชิงรุกให้รวดเร็ว รู้ผลให้เร็ว แยกกักผู้ป่วยและผู้มีความเสี่ยงเร็ว และรักษาผู้ป่วยได้เร็ว ด้วยชุดตรวจ ATK และระบบแยกกักที่บ้านและที่ชุมชน Home Isolation & Community Isolation สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรง ที่ช่วยบรรเทาภาระของการครองเตียง และการต้องใช้บุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้มีอาการหนักหรือปานกลาง สามารถเข้ารับการรักษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และมีโอกาสรักษาหายดีมากยิ่งขึ้น

        ทั้ง 10 ข้อนี้ ได้ดำเนินการมาแล้วในหลายข้อ และได้ผลดีที่เป็นปัจจัยสำคัญในการลดยอดผู้ติดเชื้อได้ ส่วนบางข้อจะมีการยกระดับและดำเนินการไปพร้อมกับการปรับมาตรการตามสถานการณ์ ช่วยให้ประเทศไทยก้าวไปสู่อนาคตร่วมกันอย่างปลอดภัยและมั่นคง สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของเราได้

       “ผมจึงขอให้พวกเราทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนทุกคน ได้นำหลักการและแนวคิด Smart Control and Living with COVID-19 นี้ไปปรับใช้กับองค์กรของท่าน ชุมชนของท่าน ครอบครัวของท่าน และตัวท่านเอง เพื่อให้เราก้าวผ่านวิกฤตสู่อนาคตของประเทศไทยร่วมกัน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว